คอลลาเจนและโปรตีน : วัตถุดิบใน BARF เช่น เนื้อสดและกระดูก เป็นแหล่งคอลลาเจนและโปรตีนที่สำคัญสำหรับการสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อของกระดูกและข้อต่อ โปรตีนจะช่วยสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ในขณะที่คอลลาเจนมีบทบาทในการสร้างโครงกระดูกและข้อต่อให้แข็งแรง
ไขมันที่ดี : เช่น น้ำมันปลา และไขมันในเนื้อสด มีคุณสมบัติช่วยให้กระดูกและข้อต่อมีความยืดหยุ่นและแข็งแรง
วิตามินและแร่ธาตุ : วัตถุดิบสดที่ใช้ในการทำ BARF มีปริมาณวิตามินและแร่ธาตุที่สูง เช่น วิตามิน D, แคลเซียม, และฟอสฟอรัส ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสร้างและรักษากระดูกและข้อต่อที่แข็งแรง
สารอาหารที่สมดุล : BARF มีสารอาหารที่สมดุลและสอดคล้องกับพัฒนาการด้านสมองและการเจริญเติบโตของแมว ซึ่งทำให้กระดูกและข้อต่อของแมวมีการเจริญเติบโตอย่างแข็งแรง และเป็นระบบอย่างเหมาะสมต่อพัฒนาการ
โปรตีนสูง : อาหาร BARF มีส่วนประกอบของโปรตีนสูงจากเนื้อสดและอื่น ๆ เช่น เนื้อไก่,เนื้อวัวหรือเนื้อปลา โปรตีนเป็นสารอาหารสำคัญที่ใช้สร้างกล้ามเนื้อ การได้รับปริมาณโปรตีนที่เพียงพอจะช่วยเสริมให้กล้ามเนื้อแข็งแรงเเละเจริญเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไขมันที่ดี : น้ำมันปลาและไขมันที่พบในเนื้อสดที่ใช้ในการทำ BARF เป็นแหล่งของไขมันที่ดี เช่น โอเมก้า 3 มีบทบาทในการส่งเสริมการสร้างกล้ามเนื้อและลดการอักเสบของกล้ามเนื้อ
วิตามินและแร่ธาตุ : ใน FEVORITE BARF มีวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ เช่น วิตามิน B12, ซิงค์, และเหล็ก เเละเเร่ธาตุอื่นๆ ที่เป็นสารอาหารสำคัญซึ่งเกี่ยวข้องกับการสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง
ไขมันดี : เช่น กรดไขมันอิคโคซาแพนท์ (Omega-3) มีผลต่อการลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด เช่น ลดการเกิดอาการอักเสบในหลอดเลือด
วิตามินและแร่ธาตุ : สารอาหารที่มีผลต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด เช่น วิตามิน B6, วิตามิน B12, แคลเซียม, แมกนีเซียม, และโพแทสเซียม มีบทบาทสำคัญในการควบคุมการหดตัวของหลอดเลือดและควบคุมการทำงานของหัวใจ
สารอาหารที่สมดุล : การทานอาหารในรูปแบบ BARF มักมีสารอาหารที่สมบูรณ์ครบถ้วนและจำเป็นในการดำรงชีวิตของแมวในเเต่ละวัน เช่น โปรตีนสูง, ไขมันดี, คาร์โบไฮเดรต, วิตามิน, แร่ธาตุ เเละอื่นๆ ที่สามารถช่วยเสริมสร้างและรักษาสุขภาพของหัวใจและหลอดเลือดได้อย่างเหมาะสม
ลดไขมันเสีย :การรับประทานอาหารที่มีคุณภาพสูงเพื่อสุขภาพที่ดี อย่างเช่นอาหารสดแบบ BARF จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด เนื่องจากมีสารอาหารที่ช่วยลดการสะสมของไขมันเสียและลดการอักเสบในหลอดเลือด นอกจากนี้การที่ BARFไม่ผ่านการปรุงรสหรือผ่านกระบวนการแปรรูปใดๆ ทำให้สารอาหารหรือเเร่ธาตุไม่โดนทำลาย และไม่มีสารอาหารอื่นๆที่เพิ่มมาจากการปรุงแต่ง ซึ่งทำให้มีปัญหาสุขภาพตามมาได้ เช่น โรคไต ที่พบบ่อยในเเมว
สารอาหารที่มีโครงสร้างเป็นธรรมชาติ : เนื้อสดและผลไม้ผักสด เป็นอาหารที่มีโครงสร้างเป็นธรรมชาติและไม่ได้ถูกแปรรูปมาก่อน ทำให้ระบบทางเดินอาหารของแมวไม่ต้องใช้ความพยายามมากขึ้นในการย่อยอาหาร การทานBARF จะกระตุ้นระบบย่อยอาหารของแมวให้ทำงานได้ดีขึ้น ซึ่งส่งผลให้เกิดการย่อยอาหารและดูดซึมอย่างมีประสิทธิภาพ
เส้นใยที่ดี : ผลไม้ผักสดที่ FAVORITE ใส่ใน BARF จะมีเส้นใยที่มีประสิทธิภาพในการช่วยเร่งกระบวนการย่อยอาหารในร่างกายโดยเฉพาะในระบบการย่อยของลำไส้ ซึ่งช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้และป้องกันการท้องผูกได้
การลดการทำลายสารอาหาร : BARF ที่เป็นอาหารสดและไม่มีการผ่านความร้อนใดๆจะไม่ทำลายสารอาหารสำคัญ ซึ่งสามารถช่วยให้แมวได้รับประโยชน์จากสารอาหารได้อย่างเต็มที่
สารอาหารที่เหมาะสม : BARF ประกอบไปด้วยวัตถุดิบที่สดและไม่มีการแปรรูปอาหาร จะมีเอนไซม์ตามธรรมชาติที่ช่วยในการย่อยอาหาร ซึ่งทำให้สามารถดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้นรวมถึงช่วยลดการหมักหมมในลำไส้ได้ด้วย
เส้นใยที่มีประโยชน์ : ผลไม้และผักสดที่ใช้ใน BARF เป็นแหล่งของเส้นใยที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทางเดินอาหาร สามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดอาการท้องอักเสบได้
การลดการสะสมของเสียและพิษ : การทาน BARF สามารถช่วยปรับปรุงระบบย่อยอาหาร กระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ไม่ดี จึงช่วยลดการสะสมของเสียและพิษในระบบทางเดินอาหารได้ ทำให้ลดความเสี่ยงต่อการเกิดอาการท้องอักเสบและปัญหาในระบบย่อยอาหาร
เสริมภูมิคุ้มกันของระบบทางเดินอาหาร : BARF จะมีสารอาหารที่ดีต่อระบบทางเดินอาหาร เช่น โปรบิโอติกส์ และแร่ธาตุที่สามารถช่วยปรับสมดุลภายในระบบย่อยอาหารและป้องกันการเกิดปัญหาต่อระบบทางเดินอาหารได้
โปรตีน : BARFมีปริมาณโปรตีนสูงจากเนื้อสด เช่น เนื้อวัวหรือเนื้อไก่ เป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อของผิวและขน ทำให้ผิวและขนของแมวเรียบเนียน อีกทั้งยังช่วยในการสร้างขนที่เกิดใหม่ให้แข็งแรงขึ้นอีกด้วย
ไขมันที่ดี : โอเมก้า3 ที่ใส่ในบาร์ฟ ช่วยลดการอักเสบของผิวหนัง ทั้งยังช่วยให้ผิวและขนของแมวมีความแข็งแรงและเงางาม โดยลดการเกิดปัญหาผิวแห้งซึ่งเป็นปัญหาที่อาจทำให้ขนของแมวร่วงเยอะ
วิตามินและแร่ธาตุ : วิตามิน A, E, และซิงค์ ใน FEVORITE BARF มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพของผิวและขน สามารถลดการหลุดร่วงโดยช่วยให้ผิวและขนของแมวมีการป้องกันอันตรายจากสารอนุมูลอิสระและการเสื่อมสภาพของผิวและขน
ลดการแพ้และระคายเคือง : BARF ที่ปราศจากสารเคมีและสารปรุงแต่ง ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดการแพ้และการระคายเคืองที่เกิดจากสารเคมี ทำให้ผิวและขนของแมวมีการตอบสนองอย่างเป็นปกติ
สารออกซิเดนต์ที่มีประสิทธิภาพ: FEVORITE BARF มีสารออกซิเดนต์ที่มีประสิทธิภาพจากวัตถุดิบหลายอย่าง ซึ่งมีคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระและเชื้อโรค ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของแมวสามารถต่อต้านการติดเชื้อและโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โปรไบโอติกส์ : การบริโภค BARF จะช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ดี เช่น โปรไบโอติกส์ในลำไส้ ซึ่งสำคัญต่อการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของแมว
การลดการอักเสบ : BARF ประกอบไปด้วยวัตถุดิบที่มีสารอาหารที่ครอบคลุมและสมบูรณ์ เช่น กรดไอโคซาเพนตะอิโนอิก(EPA) ใน Omega-3,กรดอะมิโน,วิตามิน C,A,E และแร่ธาตุอย่างเหล็ก เป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยลดการอักเสบของแมวได้ ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของแมวทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ สามารถตอบสนองต่อเชื้อโรคและสิ่งที่มีภัยต่อสุขภาพได้ดีขึ้น
การลดความเครียด: การทาน BARF จะช่วยให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้อย่างเมีประสิทธิภาพเต็มที่ ซึ่งสามารถช่วยลดความเครียดในร่างกายและสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกันของแมวได้
การลดการสะสมของไขมัน : อาหารที่มีการแปรรูปที่น้อยมากอย่าง BARF จะมีสารออกซิเดนต์ที่ช่วยลดการสะสมของไขมันในร่างกาย ซึ่งส่งผลให้ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดได้
เพิ่มสารอาหารที่สมบูรณ์และครอบคลุม : กรดไอโคซาเพนตะอิโนอิก(EPA) ใน Omega-3 มีผลดีต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด โดยลดการเกิดการอักเสบในหลอดเลือดและช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังมีวิตามินและแร่ธาตุ เช่น วิตามิน B6,วิตามิน B12,แคลเซียมและแมกนีเซียม ที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นการทาน BARF ที่มีส่วนประกอบที่เหมาะสมจึงช่วยเสริมสร้างสุขภาพของระบบหัวใจให้แข็งแรงได้
ปริมาณน้ำที่เพียงพอ : ในส่วนผสมของ BARF มีปริมาณน้ำที่เพียงพอเพื่อให้แมวอยู่ในสภาวะสุขภาพดี ซึ่งสามารถช่วยลดความเข้มข้นของปัสสาวะและลดความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาในระบบทางเดินปัสสาวะได้
ค่า pH ในปัสสาวะ : ค่า pH ที่สมดุลควรอยู่ในช่วง 6-7 และในบาร์ฟมีค่า pH ที่พอดี ไม่ต่ำหรือสูงเกินไป ส่งผลให้ pH ของปัสสาวะแมวอยู่ในระดับที่เหมาะสมและช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาในระบบทางเดินปัสสาวะได้
ลดการสะสมของเสียและเชื้อโรค : การให้ BARF ที่สะอาดและปราศจากสารเคมีสามารถช่วยลดการสะสมของเสียและเชื้อโรคในร่างกายของแมวได้ อีกทั้งใน BARF ยังมีสารออกซิเดนต์และสารอาหารที่สมบูรณ์ ทำให้เพิ่มภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาในระบบทางเดินปัสสาวะได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
ควบคุมน้ำหนักและไขมัน : ในอาหารบาร์ฟมีการเลือกใช้วัตถุดิบที่มีไขมันที่ดีและโปรตีนสูง ซึ่งช่วยในการควบคุมน้ำหนักและไขมันของแมวอย่างเหมาะสม จึงสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไตเรื้อรังที่มักเกิดจากน้ำหนักเกินได้
ระดับน้ำและไขมันในเลือด : การควบคุมระดับน้ำและไขมันในเลือดอย่างเหมาะสมสามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคไตเรื้อรังและภาวะขาดน้ำ ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนทั่วไปของแมวที่เป็นโรคไตเรื้อรังที่อาจนำไปสู่ภาวะเบื่ออาหาร ซึม อ่อนแอ ท้องผูก และมีความเสี่ยงต่อภาวะวิกฤตยูเรียมากขึ้น รวมถึงการกระตุ้นการตอบสนองทางพยาธิสรีรวิทยาที่ส่งผลเสียต่อไตอีกด้วย การทานบาร์ฟที่มีปริมาณน้ำและไขมันที่เหมาะสมจึงช่วยลดการเกิดโรคไตเรื้อรังและลดภาวะแทรกซ้อนได้
สารออกซิเดนต์และแอนติออกซิแดนท์ : สารออกซิเดนต์และแอนติออกซิแดนท์ที่พบในบาร์ฟช่วยลดอันตรายจากอนุมูลอิสระในร่างกายแมว ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ส่งผลต่อการทำงานของไต การลดอันตรายจากอนุมูลอิสระจึงช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคไตเรื้อรังได้
การป้องกันการอักเสบ : การทาน BARF เป็นประจำจะช่วยลดการเกิดการอักเสบในร่างกาย ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของแมวทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และยังช่วยป้องกันการเกิดโรคไตเรื้อรังได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
กรดไอโคซาเพนตะอิโนอิก(EPA) ใน Omega-3 : ในบาร์ฟจะมี Omega-3 ซึ่งเป็นสารอาหารที่สำคัญสำหรับสมองและระบบประสาท ช่วยเสริมสร้างและปกป้องเนื้อเยื่อสมอง ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่เกี่ยวกับสมองและระบบประสาทอีกด้วย
วิตามินและแร่ธาตุ : วิตามินที่สำคัญสำหรับสุขภาพสมองและระบบประสาทที่พบในอาหาร BARF เช่น วิตามิน B-complex, วิตามิน E, และแร่ธาตุอย่างเช่น เหล็ก มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพสมองและการทำงานของระบบประสาท
สารต้านอนุมูลอิสระ : สารต้านอนุมูลอิสระที่มาจากแหล่งวิตามินและOmega-3 ช่วยปกป้องเนื้อเยื่อสมองและระบบประสาทจากความเสียหายที่มาจากอนุมูลอิสระได้ ทำให้สมองและระบบประสาททำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยป้องกันการเกิดภาวะผิดปกติที่เกี่ยวกับสมอง นอกจากนี้บาร์ฟยังปราศจากสารเคมีและสารปรุงแต่งจึงช่วยลดการอักเสบในร่างกายและสมองอีกด้วย
การลดน้ำตาล : BARF มักมีปริมาณน้ำตาลที่น้อยกว่าอาหารเม็ดหรืออาหารเสริมอื่นๆที่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตสูง การลดปริมาณน้ำตาลจะช่วยลดการเกิดเชื้อแบคทีเรียในช่องปากที่เป็นสาเหตุของการสร้างสารเคลือบ(คราบพลัค/หินปูน) บนฟันของแมวได้
กระตุ้นการกระชับชิ้นส่วนของช่องปาก : การทาน BARF ที่เป็นเนื้อปลาหรือเนื้อสดที่มีกระดูกอ่อน จะช่วยทำให้แมวต้องใช้ความพยายามในการเคี้ยวอาหาร เป็นการกระตุ้นการเคลื่อนไหวของกระดูกกรามและกระดูกใบหน้า ทำให้มีการกัดและเคลื่อนไหวชิ้นส่วนของช่องปากมากขึ้น ซึ่งสามารถช่วยในการลดคราบหินปูนได้
สารออกซิเดนต์ธรรมชาติ : อาหารในรูปแบบ BARF มักมีสารออกซิเดนต์ธรรมชาติที่เป็นสารช่วยลดการเจริญของเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก สามารถลดการเกิดฟองน้ำและละอองเหลวที่เป็นตัวสร้างคราบหินปูนรวมถึงสามารถช่วยลดกลิ่นปากได้อีกด้วย
กระตุ้นการเคลื่อนไหวของลิ้น : การทาน BARF จะกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลิ้นในการทำความสะอาดช่องปากโดยเฉพาะหลังทานเสร็จ ซึ่งช่วยล้างสารเคลือบบนฟันและช่องปากของแมวได้อย่างสมบูรณ์
สารออกซิเดนต์ธรรมชาติ : BARF มีสารออกซิเดนต์ธรรมชาติที่ช่วยในกระบวนการล้างสารพิษในร่างกาย ซึ่งสารเหล่านี้มีคุณสมบัติในการยับยั้งการเจริญของเชื้อแบคทีเรีย และเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการล้างสารพิษ
โปรตีนสมบูรณ์ :โปรตีนที่มีคุณภาพสูงและมีความสมบูรณ์ใน BARF จะช่วยในกระบวนการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ในร่างกายแมว ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการล้างสารพิษ
ความสมดุลของประสิทธิภาพเคมีในร่างกาย: เมื่อแมวทาน BARF เป็นประจำจะช่วยสร้างสมดุลของประสิทธิภาพเคมีในร่างกาย ทำให้ระบบการล้างสารพิษทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประสิทธิภาพระบบตับและไต: การทานบาร์ฟจะช่วยสนับสนุนการทำงานของตับและไตให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการขับสารพิษออกจากร่างกาย
ระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง: วิตามิน C, วิตามิน E, และซิงค์ ที่มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค
สารต้านอนุมูลอิสระ: อาหาร BARF มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการเสียหายจากอนุมูลอิสระในร่างกาย ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคได้
ประสิทธิภาพการยับยั้งเชื้อโรค: สารออกซิเดนต์ธรรมชาติที่พบในวัตถุดิบสด เช่น ผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์สดมีคุณสมบัติที่ช่วยในการยับยั้งการเจริญของเชื้อโรค
การเสริมสร้างสุขภาพทั่วไป: การให้อาหารในรูปแบบ BARF ที่มีสารอาหารที่สมบูรณ์และมีประสิทธิภาพสามารถช่วยเสริมสร้างสุขภาพทั่วไปของแมว ทำให้ร่างกายมีความแข็งแรงและพร้อมสำหรับการต่อสู้กับเชื้อโรค
สารออกซิเดนต์ธรรมชาติ: สารออกซิเดนต์ธรรมชาติสามารถช่วยลดการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียและสาเหตุของการอักเสบในร่างกายได้ ดังนั้นการทาน BARF จึงทำให้ได้รับสารออกซิเดนต์ธรรมชาติอย่างเต็มที่
โปรตีนสมบูรณ์: โปรตีนที่มีคุณภาพสูงและมีความสมบูรณ์ จะช่วยในการฟื้นฟูเนื้อเยื่อที่เสียหายจากการอักเสบ และช่วยเสริมสร้างกระบวนการฟื้นฟูในร่างกายให้ดีขึ้น
สารอาหารสมบูรณ์: BARF มีสารอาหารที่สมบูรณ์และมีปริมาณวิตามินแร่ธาตุที่เหมาะสมสำหรับร่างกายแมว ไม่มีสารปรุงแต่งหรือสารเคมีที่อาจเป็นสาเหตุของการอักเสบ ทำให้ร่างกายมีพลังงานและสามารถฟื้นฟูตัวเองจากการอักเสบได้มากขึ้น
กระตุ้นการสร้างสารต้านอนุมูลอิสระ: วิตามิน C, วิตามิน E, และแร่ธาตุ ในบาร์ฟมีบทบาทสำคัญในการสร้างสารต้านอนุมูลอิสระและป้องกันการเกิดอาการอักเสบได้อย่างมาก
ความสมดุลของโปรไบโอติก : อาหาร BARF มักมีสารอาหารที่เป็นธรรมชาติและปราศจากสารเคมี ซึ่งสามารถช่วยเสริมสร้างความสมดุลของโปรไบโอติกในร่างกาย ทำให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สารอาหารที่ลดการอักเสบ : อาหาร BARF มักมีสารอาหารที่ช่วยลดการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร เช่น ไขมันที่ดี, โปรตีนสมบูรณ์, และใยอาหารที่ลดการอักเสบในลำไส้
การกระตุ้นการย่อยอาหาร : อาหารในรูปแบบ BARF มักมีโครงสร้างที่เหมาะสมสำหรับการย่อยและดูดซึมในระบบทางเดินอาหารของแมว ทำให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การสนับสนุนการเจริญเติบโตของเซลล์เยื่อบุคอก : อาหาร BARF มักมีสารอาหารที่สนับสนุนการเจริญเติบโตและฟื้นฟูเซลล์เยื่อบุชั้นนอกในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งช่วยให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สารอาหารที่สมบูรณ์และปราศจากสารเคมี: สารอาหารที่สมบูรณ์ในบาร์ฟช่วยป้องกันการเกิดการติดเชื้อ โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติ นอกจากนี้การลดการบริโภคสารเคมียังสามารถช่วยลดการเกิดปัญหาของระบบภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติได้อีกด้วย
สารออกซิเดนต์ธรรมชาติ: สารออกซิเดนต์ธรรมชาติในบาร์ฟช่วยป้องกันการเจริญของเชื้อแบคทีเรียและสาเหตุของโรคในร่างกาย ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาของระบบภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ
การกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์เยื่อบุคอก: อาหาร BARF มีสารอาหารที่ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตและฟื้นฟูเซลล์เยื่อบุคอกในร่างกาย ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความสมดุลของโปรไบโอติก: สมดุลของโปรไบโอติกที่เหมาะสมสำหรับร่างกายแมว จะช่วยในการสร้างและรักษาระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โปรตีนที่สมบูรณ์และมีคุณภาพสูง: อาหารที่มีโปรตีนคุณภาพสูงและสมบูรณ์ เช่น เนื้อสด ปลาสด หรือไข่สด มีโปรตีนที่ช่วยให้แมวได้รับพลังงานมากขึ้น การทาน BARF ที่มีโปรตีนสูง และไม่มีสารเคมีหรือสารปรุงแต่ง(ซึ่งอาจทำให้ร่างกายของแมวมีพลังงานที่ไม่เพียงพอ)จึงสามารถช่วยให้แมวมีพลังงานและมีความกระปรี้กระเปร่าอยู่เสมอ
ไขมันที่ดี: ไขมันที่ดี มีคุณค่าสูง อย่างเช่นไขมันที่มีส่วนผสมของกรดไขมันอิทิลิก (Omega-3 และ Omega-6) ใน BARF สามรถช่วยเพิ่มพลังงานและสร้างความกระปรี้กระเปร่าให้แมวได้ดี
คาร์โบไฮเดรตที่เหมาะสม:/ คาร์โบไฮเดรตที่มาจากแหล่งอาหารธรรมชาติ เช่น ผัก ผลไม้ และถั่ว สามารถช่วยให้แมวได้รับพลังงานเพียงพอและมีความกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น
วิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญ: ใน BARF มักมีสารอาหารที่สำคัญสำหรับการผลิตพลังงานและเสริมความกระปรี้กระเปร่าให้แมว เช่น วิตามิน B-complex, วิตามิน E, และเหล็ก
ไขมันที่ดี: ไขมันดีที่มีส่วนผสมของกรดไขมันอิทิลิก (Omega-3 และ Omega-6)เป็นสารอาหารที่สำคัญสำหรับการสร้างเซรีบรัมในสมอง หากได้รับปริมาณอย่างพอเหมาะสามารถช่วยเสริมสร้างซีรีบรัมในสมองและเพิ่มความคมชัดในการทำงานของระบบประสาทอีกด้วย
วิตามินและแร่ธาตุ: วิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญสำหรับสุขภาพของระบบประสาทและสมอง ได้แก่ วิตามิน B-complex, วิตามิน E, และแมกนีเซียม ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างซีรีบรัมในสมองและส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท
สารต้านอนุมูลอิสระ: สารต้านอนุมูลอิสระสามารถช่วยปกป้องเนื้อเยื่อสมองจากการเสื่อมเสียและป้องกันการเกิดอาการสมองเสื่อมได้ ช่วยลดความเครียดในร่างกายและการทำงานของระบบประสาทส่งผลให้สมองทำงานได้ดีขึ้น
อาหารที่มีคุณภาพสูง: FEVORITE BARF มีสารอาหารที่มีคุณภาพสูง เช่น เนื้อสัตว์สด ปลาสด หรือไข่สด ซึ่งใส่ในปริมาณที่เหมาะสม สามาถช่วยส่งเสริมสุขภาพของระบบประสาทและเสริมสร้างซีรีบรัมในสมองอย่างมีประสิทธิภาพ
ใยอาหารที่มีคุณภาพ: ใยอาหารที่มีคุณภาพสูง เช่น ผัก ผลไม้ และผลเมล็ด สามารถช่วยเร่งกระบวนการขับถ่ายและส่งเสริมระบบการทำงานของลำไส้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สารอาหารที่สร้างความเรียบเนียน: การทาน BARF จะมีสารอาหารที่ช่วยสร้างความเรียบเนียนในระบบทางเดินอาหาร เช่น ไขมันที่ดี, โปรตีน, และคาร์โบไฮเดรต ซึ่งช่วยให้กระบวนการขับถ่ายของแมวให้เป็นไปอย่างปกติและขับถ่ายได้ง่ายขึ้น
การลดการใช้สารเคมี: การทานอาหารที่ไม่มีสารเคมีหรือสารปรุงแต่งอย่างบาร์ฟเป็นประจำ สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาของระบบขับถ่ายและส่งเสริมระบบการทำงานของลำไส้ได้ดียิ่งขึ้น
สารออกซิเดนต์ธรรมชาติ: สารออกซิเดนต์ธรรมชาติใน BARF ช่วยลดการเจริญของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคในลำไส้ได้ ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาระบบขับถ่ายและส่งเสริมระบบการทำงานของลำไส้ให้มีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้นด้วย
ลดการสัมผัสกับสารเคมี: การทานอาหาร BARF ที่ประกอบไปด้วยวัตถุดิบธรรมชาติและไม่มีสารเคมีที่อาจทำให้เกิดภูมิแพ้ในแมว เช่น สารกันเสีย สารปรุงแต่ง หรือสารกลิ่นเทียม จะช่วยลดการสัมผัสกับสารเคมีและสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคภูมิแพ้ของแมวได้อีกด้วย
สารออกซิเดนต์ธรรมชาติ: สารออกซิเดนต์ธรรมชาติในบาร์ฟช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อสาเหตุของโรคในร่างกาย ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคภูมิแพ้ได้
การป้องกันการเปลี่ยนแปลงภูมิคุ้มกัน: การทานอาหารที่สมบูรณ์และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคภูมิแพ้และช่วยรักษาสุขภาพของผิวหนังและเยื่อบุคอกได้ หากแมวทานบาร์ฟอย่างเป็นประจำจึงทำให้สามารถป้องกันการเปลี่ยนแปลงภูมิคุ้มกันที่อาจทำให้เกิดภูมิแพ้ได้
ให้รสชาติที่ดี: BARF มักมีรสชาติที่น่าตะลึงใจสำหรับแมว เนื่องจากมีส่วนผสมของวัตถุดิบธรรมชาติ เช่น เนื้อสด ปลาสด หรือผลไม้และโยเกิร์ต ซึ่งช่วยเพิ่มความสุขและความพึงพอใจในการกินอาหารของแมวเป็นอย่างมาก
สนุกสนานในการกิน: FEVORITE BARF มีสูตรและวัตถุดิบที่หลากหลายให้คุณเลือกสรรสำหรับแมว เช่น เนื้อสัตว์ต่างๆ, ปลา, ผักผลไม้ เป็นต้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสนุกสนานและความพึงพอใจในการกินอาหารของแมว
ส่งเสริมพฤติกรรมที่ดี: การให้แมวทาน BARF อย่างสม่ำเสมอจะช่วยทำให้แมวมีสุขภาพดีและช่วยในการฟื้นตัวจากโรคได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้แมวมีพฤติกรรมที่ดีต่อการกินอาหาร เช่น มีความกระตือรือร้นในการกินและไม่มีปัญหาในการยอมรับอาหารใหม่
เสริมสร้างความผูกพัน: การเตรียมอาหาร BARF และการให้อาหารแมวด้วยมือสามารถสร้างความผูกพันและความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างเจ้าของและแมวได้ ซึ่งช่วยเพิ่มความสุขและความพึงพอใจในทั้งสองฝ่ายอีกด้วย
ส่งเสริมการเคลื่อนไหว: BARF มักมีส่วนผสมที่ทำให้แมวมีพลังงานมากขึ้นและเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ซึ่งช่วยส่งเสริมการเคลื่อนไหวและความสนุกสนานในการเล่นของแมว
สารอาหารที่สมบูรณ์และคุณภาพสูง: เช่น โปรตีน, ไขมันที่ดี, วิตามิน, แร่ธาตุ, และกรดอะมิโนที่จำเป็น สามารถช่วยบำรุงและลดความเครียดในร่างกายได้ นอกจากนี้บาร์ฟยังมีสารออกซิเดนต์ธรรมชาติที่ช่วยลดการเครียดในร่างกาย ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระส่งผลให้แมวลดความเครียดและให้ร่างกายของแมวมีความสมดุลมากขึ้น
การลดสารพิษในร่างกาย: การทาน BARF สามารถช่วยในการลดสารพิษในร่างกายที่อาจเป็นสาเหตุของความเครียดได้ เนื่องจากมีส่วนประกอบที่ช่วยส่งเสริมกระบวนการล้างสารพิษออกจากร่างกายของแมว
ส่งเสริมสุขภาพทั่วไป: เมื่อแมวาทาน BARF เป็นประจำจะส่งเสริมสุขภาพทั่วไปของแมวได้อย่างครบถ้วน ซึ่งสามารถช่วยลดความเครียดในร่างกายและเพิ่มความสมดุลของระบบชีวิตได้
ปริมาณโปรตีน: โปรตีนที่มาจากแหล่งเนื้อสัตว์เป็นโปรตีนปริมาณที่สูงช่วยให้แมวรู้สึกอิ่ม และช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่เกิดไขมันสะสมขึ้น
ไขมันที่ดี: ไขมันที่ดีที่มาจากแหล่งอาหารธรรมชาติ เช่น น้ำมันปลาและไข่ (Omega-3 และ Omega-6) ช่วยให้ระบบการเผาผลาญไขมันของแมวมีประสิทธิภาพและช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วนได้
ความสมดุลของสารอาหาร: BARF ประกอบด้วยสารอาหารที่สมดุล มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตต่ำ มีเอนไซม์และสารอาหารอื่นๆที่จำเป็น สามารถช่วยในการย่อยอาหารและการเผาผลาญ ทำให้แมวรักษาน้ำหนักตัวที่เหมาะสมได้ ซึ่งคาร์โบไฮเดรตยังเป็นสารอาหารที่ทำให้เกิดการสะสมไขมัน ดังนั้นการรักษาสมดุลของสารอาหารจึงมีส่วนช่วยควบคุมน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอ้วนอีกด้วย
สารออกซิเดนต์ธรรมชาติ: สารออกซิเดนต์ธรรมชาติสามารถช่วยลดการเจริญของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อสาเหตุของโรคในร่างกายได้ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วนด้วยเช่นกัน
สุขภาพของตา: วิตามิน A สำคัญสำหรับการรักษาสุขภาพของดวงตา ช่วยให้แมวมีการมองเห็นที่ดีและช่วยรักษาสายตาให้มีการทำงานเป็นปกติและมีประสิทธิภาพ
ผิวหนังและขน: วิตามิน A จะเสริมสร้างสารในผิวหนังและขนของแมว ช่วยให้ผิวหนังอ่อนนุ่มและเงางาม และยังช่วยรักษาความมันที่เหมาะสมบนผิวหนังได้ด้วย
ระบบภูมิคุ้มกัน: วิตามิน A เป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันของแมว ช่วยให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคและสารพิษได้ดีขึ้น
การเจริญเติบโต: การได้รับวิตามิน A ในปริมาณที่เพียงพอ สามารถช่วยในการเจริญเติบโต การพัฒนาอวัยวะและระบบต่างๆ ในร่างกายของแมวได้
สุขภาพประสาท: วิตามิน B1 เป็นสารสำคัญที่ช่วยในการบำรุงระบบประสาท เกี่ยวข้องในการสังเคราะห์อะเซทิลโคลีน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองและร่างกายที่แตกต่างกัน เช่น ความจำและความสนใจ ทั้งยังสามารถช่วยให้การส่งผ่านสัญญาณประสาทเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
การเผาผลาญพลังงาน: วิตามิน B1 เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย มีบทบาทสำคัญในการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต ช่วยให้แมวมีพลังงานที่เพียงพอในการทำกิจกรรมประจำวัน
ระบบเม็ดเลือด: วิตามิน B1 ช่วยในกระบวนการสร้างเม็ดเลือดแดง ซึ่งมีผลต่อการนำออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อต่างๆในร่างกาย
การเจริญเติบโต: การได้รับวิตามิน B1 ในปริมาณเพียงพอจะช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโต พัฒนาอวัยวะและระบบต่างๆ ในร่างกายของแมว
ระบบทางเดินอาหาร: วิตามิน B1 เสริมสร้างระบบทางเดินอาหารและการเผาผลาญอาหาร ช่วยให้กระบวนการย่อยอาหารเป็นไปอย่างปกติ
การเผาผลาญพลังงาน: วิตามิน B2 เป็นส่วนสำคัญของเอนไซม์ที่ช่วยในกระบวนการเผาผลาญโปรตีน, ไขมัน, และ คาร์โบไฮเดรต ทำให้แมวมีพลังงานที่เพียงพอในการทำกิจกรรมประจำวัน
สุขภาพผิวและขน: วิตามิน B2 ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อในผิวหนังและขนของแมว ช่วยให้ผิวหนังและขนแข็งแรงยิ่งขึ้น
ระบบทางเดินอาหาร: วิตามิน B2 เสริมสร้างระบบทางเดินอาหารและกระบวนการย่อยอาหาร ช่วยให้การดูดซึมและการเปลี่ยนแปลงอาหารเป็นสารอาหารสำคัญ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
การเจริญเติบโต: การได้รับวิตามิน B2 ในปริมาณเพียงพอจะเสริมสร้างเซลล์โมเลกุลในร่างกาย ช่วยในการเจริญเติบโต พัฒนาอวัยวะและระบบต่างๆ ในร่างกายของแมว
ระบบการเม็ดเลือด: วิตามิน B2 ช่วยในกระบวนการสร้างเม็ดเลือดแดง ซึ่งมีผลต่อการนำออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย
การเผาผลาญพลังงาน: วิตามิน B3 ช่วยในกระบวนการเผาผลาญพลังงานทั่วร่างกายของแมว สามารถเปลี่ยนอาหารที่กินเข้าไปให้เป็นพลังงานที่ใช้ได้
สุขภาพผิวและขน: วิตามิน B3 มีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพผิวหนังและขนให้แข็งแรงเงางาม
การสังเคราะห์ฮอร์โมน: วิตามิน B3 มีส่วนเกี่ยวข้องในการสังเคราะห์ฮอร์โมนบางชนิด เช่น คอร์ติซอล ซึ่งมีบทบาทในการตอบสนองต่อความเครียดและการเผาผลาญของระบบอาหาร
ลดระดับคอเลสเตอรอล: วิตามิน B3 ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้ ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับแมวที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
บำรุงระบบประสาท: วิตามิน B3 มีบทบาทในการสร้างสารเคมีที่สำคัญสำหรับระบบประสาท เช่น ไนอาซิน, ซิเรียลไนน์, และเกรนซิล ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้อย่างเป็นปกติ
การเผาผลาญพลังงาน:วิตามิน B5 มีส่วนสำคัญต่อกระบวนการเผาผลาญโปรตีน, ไขมัน, และ คาร์โบไฮเดรต ช่วยให้แมวมีพลังงานที่เพียงพอในการทำกิจกรรมประจำวัน
การเจริญเติบโต: วิตามิน B5 เสริมสร้างกระบวนการเจริญเติบโตและซ่อมแซมเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกายของแมว ทั้งยังช่วยในการรักษาสุขภาพผิวหนังและขนให้แข็งแรงและเงางามอีกด้วย
การสังเคราะห์คอเลสเตอรอล: วิตามิน B5 มีบทบาทสำคัญในการสังเคราะห์คอเลสเตอรอล ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของฮอร์โมนและวิตามินดี
ระบบทางเดินอาหาร: วิตามิน B5 เสริมสร้างระบบทางเดินอาหารและกระบวนการย่อยอาหาร ช่วยให้การดูดซึมและการเปลี่ยนแปลงอาหารเป็นสารอาหารสำคัญเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ลดความเครียด วิตามิน B5(กรดแพนโทธีนิก) สามารถช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลในแมวได้
การเผาผลาญโปรตีน: วิตามิน B6(พริดอกซีน) มีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการเผาผลาญโปรตีน ช่วยให้ร่างกายใช้โปรตีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สุขภาพระบบประสาท: วิตามิน B6 เสริมสร้างสารสื่อประสาทที่สำคัญ เช่น เซโรโทนินและโดพามีน ซึ่งมีบทบาทในการควบคุมอารมณ์และความอยากอาหารของแมว นอกจากนี้ยังเสริมสร้างการส่งผ่านสารสัญญาณประสาท ช่วยให้แมวมีการตอบสนองทางประสาทที่ถูกต้อง
การสร้างเซลล์: วิตามิน B6 มีบทบาทในกระบวนการสร้างเซลล์ใหม่และซ่อมแซมเนื้อเยื่อในร่างกายของแมว
ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ: วิตามิน B6 ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจในแมวได้ โดยการลดระดับโฮโมซิสเทอีน ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคหัวใจ
เม็ดเลือด: วิตามิน B6 มีความจำเป็นต่อการสังเคราะห์ฮีโมโกลบิน ซึ่งเป็นโปรตีนในเม็ดเลือดแดงที่นำพาออกซิเจนไปทั่วร่างกาย
สุขภาพผิวและขน: วิตามิน B7(ไบโอติน) มีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพผิวหนังและขนให้แข็งแรง เงางาม ปราศจากอาการระคายเคือง และมีความจำเป็นต่อการสังเคราะห์เคราติน ซึ่งเป็นโปรตีนที่พบในผิวหนัง ขนและเล็บ ช่วยให้โครงสร้างเหล่านี้แข็งแรงและมีสุขภาพดี
สุขภาพเล็บ: วิตามิน B7(ไบโอติน) มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างความแข็งแรงของเล็บไม่ให้แตกง่าย และยังช่วยลดความเสียหายของเล็บที่แตกอีกด้วย
ลดความเสี่ยงของโรคผิวหนัง: วิตามิน B7 อาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคผิวหนังบางชนิดในแมว เช่น โรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้และโรคผิวหนังจากเชื้อยีสต์
สุขภาพเม็ดเลือด: วิตามิน B7 ช่วยในกระบวนการสร้างเม็ดเลือดแดง ซึ่งมีผลต่อการนำออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย
สุขภาพเซลล์: วิตามิน B7 มีบทบาทในการสร้างเซลล์ใหม่และซ่อมแซมเนื้อเยื่อในร่างกายของแมว ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของแมว ทำให้แมวมีสุขภาพแข็งแรงและต้านทานโรคได้ดีขึ้น
การสร้างเซลล์ใหม่: วิตามิน B9(โฟเลต) มีบทบาทสำคัญในการแบ่งเซลล์ ซึ่งจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตและการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ทั้งยังเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการสร้างเซลล์ใหม่ในร่างกายของแมว ช่วยให้ร่างกายสามารถซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหายได้
การสังเคราะห์ดีเอ็นเอและอาร์เอ็นเอ: วิตามิน B9 มีความจำเป็นต่อการสังเคราะห์ดีเอ็นเอและอาร์เอ็นเอ ซึ่งเป็นสารพันธุกรรมที่ควบคุมการทำงานของเซลล์ การได้รับวิตามิน B9 ในปริมาณเพียงพอสามารถช่วยในการเจริญเติบโตและพัฒนาอวัยวะและระบบต่างๆในร่างกายของแมว
การผลิตเซลล์เลือด: วิตามิน B9 ช่วยเสริมสร้างกระบวนการสร้างเซลล์เลือดแดง ซึ่งมีผลต่อการนำออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย
การทำงานของระบบประสาท:: การได้รับวิตามิน B9 ในปริมาณเพียงพอสามารถส่งเสริมสุขภาพทั่วไปของแมวให้ดี เช่น ช่วยรักษาการทำงานของระบบประสาทและระบบภูมิคุ้มกัน สามารถลดความเสี่ยงของข้อบกพร่องทางท่อประสาทในลูกแมว ที่เกิดจากแม่แมวที่ขาดโฟเลตในระหว่างตั้งครรภ์ได้
การผลิตเม็ดเลือดแดง: วิตามินบี 12 จำเป็นสำหรับการสังเคราะห์เซลล์เม็ดเลือดแดงในแมว ซึ่งมีหน้าที่นำออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆในร่างกาย การขาดวิตามินบี 12 อาจทำให้เกิดภาวะโลหิตจางในแมว ทำให้เกิดอาการอ่อนแรง เซื่องซึม และปัญหาสุขภาพอื่นๆได้
สุขภาพประสาท: วิตามิน B12 มีความสำคัญต่อการรักษาระบบประสาทให้แข็งแรง ช่วยในการผลิตไมอีลินซึ่งเป็นสารที่ป้องกันและปกป้องเส้นประสาทในแมว นอกจากนี้วิตามินบี 12 ยังจำเป็นต่อการเคลื่อนที่ของกระแสประสาทหรือการนำกระแสประสาทอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
การทำงานของระบบทางเดินอาหาร: วิตามิน B12 จำเป็นต่อระบบทางเดินอาหาร ช่วยในการย่อยและเผาผลาญไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต การขาดวิตามินบี 12 อาจทำให้เกิดปัญหาทางเดินอาหาร เช่น ท้องร่วง อาเจียน และน้ำหนักลดในแมวได้
เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน: วิตามิน B12 มีบทบาทในการช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันแมวให้แข็งแรง ช่วยในการผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวซึ่งมีหน้าที่ต่อสู้กับการติดเชื้อและโรคต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้แมวมีภูมิคุ้มกันแข็งแรงและมีสุขภาพดี
การเจริญเติบโตและซ่อมแซมเซลล์: การได้รับวิตามิน B12 ในปริมาณเพียงพอสามารถช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์และกระบวนการซ่อมแซมเซลล์ ทั้งยังช่วยในการสังเคราะห์ DNA, RNA และโปรตีน ซึ่งจำเป็นต่อการแบ่งเซลล์และการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ให้แมว วิตามิน B12 จึงสำคัญอย่างยิ่งสำหรับลูกแมวที่กำลังเติบโต
ระบบภูมิคุ้มกัน: วิตามิน C เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของแมว ช่วยป้องกันการติดเชื้อโรคต่างๆ และมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ สามารถช่วยสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกันโดยการต่อต้านอนุมูลอิสระและลดความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อแมวโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เจ็บป่วยหรือเครียด
สุขภาพผิวและขน: วิตามิน C มีความสำคัญต่อการสังเคราะห์คอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนที่จำเป็นต่อการรักษาสุขภาพของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เช่น ผิวหนัง กระดูก และหลอดเลือด ระดับวิตามินซีที่เพียงพอยังสามารถช่วยให้ผิวและขนของแมวสวยและแข็งแรงอีกด้วย
การฟื้นฟูจากการป่วย: การให้วิตามิน C จะช่วยในกระบวนการฟื้นฟูจากโรคหรือการเจ็บป่วยของแมว มีบทบาทในการรักษาบาดแผลโดยส่งเสริมการสร้างเนื้อเยื่อแผลและสนับสนุนการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อการติดเชื้อ แมวที่ได้รับบาดเจ็บหรือฟื้นตัวจากการผ่าตัดควรได้รับวิตามินซีเพิ่มเติมเพื่อช่วยในกระบวนการสมานแผล
ระบบทางเดินอาหาร: วิตามิน C ช่วยในการลดอาการอักเสบในระบบทางเดินอาหารและส่งเสริมการดูดซึมสารอาหารในลำไส้
ป้องกันอนุมูลอิสระ: วิตามิน C เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์และเนื้อเยื่อ สามารถบรรเทาผลกระทบของความเครียดที่มีต่อแมวในช่วงเวลาที่เกิดความเครียดได้ เช่น การเดินทาง สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง หรือการเจ็บป่วย ดังนั้นจึงควรเสริมวิตามินซีเพื่อสนับสนุนกลไกการตอบสนองต่อความเครียดของร่างกายแมวเมื่อแมวอยู่ในภาวะเครียด
สุขภาพกระดูก: วิตามิน D เสริมสร้างสุขภาพกระดูกของแมว ช่วยให้มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสะสมอยู่ในกระดูก ซึ่งจำเป็นต่อความแข็งแรงและความหนาแน่นของกระดูก ระดับวิตามินD ที่เพียงพอมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อลูกแมวที่กำลังเติบโตเพื่อช่วยในการพัฒนากระดูกให้แข็งแรงและป้องกันการเกิดโรคกระดูก
ระบบประสาท: วิตามิน D มีบทบาทในการรักษาสุขภาพของระบบประสาท ช่วยให้การส่งสัญญาณประสาทในร่างกายทำงานได้อย่างปกติ
การทำงานของกล้ามเนื้อ: การให้วิตามิน D มีบทบาทในการทำงานของกล้ามเนื้อและสุขภาพของกล้ามเนื้อโดยรวมในแมว นอกจากนี้ยังมีส่วนเกี่ยวข้องในการควบคุมการหดตัวและการผ่อนคลายของกล้ามเนื้อ ซึ่งจำเป็นสำหรับการเคลื่อนไหวและการประสานงานให้เป็นไปตามปกติ
สุขภาพทั่วไป: วิตามิน D เสริมสร้างสุขภาพทั่วไปของแมว เช่น สุขภาพของผิวหนังและขน นอกจากนี้วิตามินดียังช่วยควบคุมการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสจากลำไส้อีกด้วย ซึ่งแร่ธาตุเหล่านี้มีความสำคัญต่อการรักษากระดูกและฟันให้แข็งแรง หากไม่มีวิตามินDเพียงพอ แมวอาจเกิดภาวะขาดแคลเซียมและฟอสฟอรัส นำไปสู่ปัญหาโครงกระดูก เช่น กระดูกอ่อนแอและปัญหาทางทันตกรรม
สุขภาพของระบบภูมิคุ้มกัน: วิตามิน D มีฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกัน การได้รับในปริมาณเพียงพอจะช่วยในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของแมว ซึ่งจะสามารถช่วยควบคุมการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อการติดเชื้อและโรคต่างๆ ช่วยให้แมวต่อสู้กับการติดเชื้อและมีสุขภาพที่ดีได้
ระบบการย่อยอาหาร: วิตามิน D เสริมสร้างการดูแลสุขภาพระบบการย่อยอาหาร ช่วยในกระบวนการดูดซึมสารอาหารในลำไส้
สุขภาพผิวหนัง: วิตามิน E เสริมสร้างสุขภาพผิวหนังของแมว ช่วยลดอาการอักเสบและผิวหนังลอก รักษาสุขภาพผิวโดยปกป้องผิวจากความเสียหายจากอนุมูลอิสระและส่งเสริมการสร้างเซลล์ผิวใหม่ นอกจากนี้ วิตามินอียังช่วยให้ขนเงางามด้วยการบำรุงรูขุมขนและป้องกันความแห้งและผิวเป็นขุยอีกด้วย
การลดอันตรายจากอนุมูลอิสระ: วิตามิน E เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งอนุมูลอิสระเป็นโมเลกุลที่เป็นอันตราย สามารถทำลายเซลล์และมีส่วนทำให้เกิดความชราและโรคได้
สุขภาพระบบทรวงอก: วิตามิน E เสริมสร้างการดูแลสุขภาพระบบทรวงอกของแมว ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคที่เกี่ยวกับทรวงอก
การสร้างคอลลาเจน: วิตามิน E เป็นสารสำคัญในกระบวนการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของเนื้อเยื่อผิวหนังและขน
การฟื้นฟูจากการบาดเจ็บ: การได้รับวิตามิน E จะช่วยในกระบวนการฟื้นฟูการบาดเจ็บของแมว และยังมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยให้แมวต่อสู้กับการติดเชื้อและโรคต่างๆอีกด้วย
การเจริญพันธุ์: ในแมวผสมพันธุ์ วิตามิน E มีความสำคัญต่อสุขภาพการเจริญพันธุ์ รวมถึงการตั้งครรภ์ของแม่แมวด้วย
ลดความเสี่ยงจากการเลือดออก :หนึ่งในหน้าที่หลักของวิตามิน K คือบทบาทในการแข็งตัวของเลือดและลดความเสี่ยงจากการเลือดออกโดยไม่จำเป็น ช่วยให้เลือดแข็งตัวอย่างเหมาะสม ซึ่งจำเป็นต่อการรักษาบาดแผลและป้องกันเลือดออกมากเกินไป แมวก็เหมือนกับมนุษย์ที่ต้องพึ่งพาวิตามินเคเพื่อรักษาการทำงานของการแข็งตัวของเลือดให้เป็นปกติ
สุขภาพของหัวใจและหลอดเลือด: วิตามิน K เสริมสร้างสุขภาพของหลอดเลือด ช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรงและป้องกันการแตกหรืออักเสบของหลอดเลือด งานวิจัยบางชิ้นชี้ให้เห็นว่าวิตามิน K มีบทบาทต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด โดยการช่วยป้องกันการเกิดหินปูนในหลอดเลือดแดงซึ่งทำให้เสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันได้
การฟื้นฟูหลังจากการผ่าตัด: การให้วิตามิน K สามารถช่วยในกระบวนการฟื้นฟูหลังจากการผ่าตัดหรือบาดเจ็บของแมวได้
การทำงานของตับ: วิตามิน K เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์โปรตีนบางชนิดในตับซึ่งมีความสำคัญต่อกระบวนการทางสรีรวิทยาต่างๆ รวมถึงการแข็งตัวของเลือดและการเผาผลาญของกระดูกด้วย
สุขภาพของกระดูก: วิตามิน K มีส่วนดีต่อสุขภาพของกระดูกโดยช่วยควบคุมแคลเซียมภายในร่างกาย ให้มั่นใจได้ว่าแคลเซียมจะถูกใช้อย่างเหมาะสมในการสร้างกระดูกและการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรักษากระดูกให้แข็งแรงและมีสุขภาพดี
สุขภาพผิวและขน: Omega-6 เป็นส่วนสำคัญของการสร้างผิวหนังและเส้นขน ทำให้ผิวชุ่มชื้น ส่งเสริมการทำงานของเกราะป้องกันผิวหนังและลดการอักเสบ ช่วยให้ผิวและขนของแมวสวยงามและมีความแข็งแรง การขาดกรดไขมันโอเมก้า 6 อาจทำให้ผิวแห้ง เป็นขุย และขนหมองคล้ำได้
สุขภาพของเซลล์: Omega-6 เป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ทั่วร่างกาย ช่วยรักษาโครงสร้างและการทำงานของเยื่อหุ้มเซลล์ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสุขภาพและการทำงานของเซลล์โดยรวม และยังช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาวอีกด้วย
ระบบภูมิคุ้มกัน: Omega-6 มีบทบาทในการสร้างกรดไขมันที่ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้สามารถต่อสู้กับการติดเชื้อโรคต่างๆได้ นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยในการผลิตเซลล์และโมเลกุลของระบบภูมิคุ้มกันที่เกี่ยวข้องกับกลไกการป้องกันของร่างกายอีกด้วย จึงช่วยป้องกันการติดเชื้อและโรคต่างๆ ในแมวได้
สุขภาพของหัวใจ: การรับประทาน Omega-6 ในปริมาณที่เหมาะสมช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดในแมว
การสร้างฮอร์โมน: Omega-6 เป็นส่วนสำคัญของการสร้างฮอร์โมนในร่างกายของแมว เช่น ฮอร์โมนสำคัญเกี่ยวกับการสมดุลของการทำงานของร่างกาย นอกจากนี้ยังมีบทบาทในการเจริญพันธุ์ การตั้งครรภ์ และพัฒนาการของลูกแมวที่แข็งแรงอีกด้วย
สุขภาพทั่วไป: Omega-6 ช่วยลดการอักเสบในร่างกายของแมว ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงานสำหรับแมว โดยให้แคลอรี่ที่จำเป็นสำหรับกระบวนการและกิจกรรมทางสรีรวิทยาต่างๆอีกด้วย
สุขภาพสมองและระบบประสาท: DHA เป็นส่วนสำคัญของโครงสร้างของสมองและสายประสาท ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้ดี และมีบทบาทในการพัฒนาสมองของลูกแมวที่เกิดใหม่อีกด้วย
สุขภาพตา: DHA เป็นส่วนสำคัญของเนื้อเยื่อในดวงตาและจอประสาทตา ระดับ DHA ที่เพียงพอในแมวช่วงวัยเด็กที่กำลังเจริญเติบโตจะทำให้การรับรู้และการมองเห็นของแมวทำงานได้อย่างเหมาะสม และยังช่วยให้สายตาของแมวในวัยต่างๆทำงานได้อย่างดี เห็นได้ชัดและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังช่วยลดปัญหาการมองเห็นของแมววัยชราได้อีกด้วย
สุขภาพหัวใจ: DHA ช่วยลดการเกิดอาการหัวใจอัมพฤกษ์และลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด สามรถลดการอักเสบ ลดความดันโลหิต และลดระดับไขมันในเลือดที่ส่งผลต่อโรคหัวใจอีกด้วย
สุขภาพข้อและกระดูก: DHA ช่วยลดการอักเสบในข้อและเสริมสร้างกระดูกและข้อให้แข็งแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแมวที่มีโรคข้ออักเสบหรือภาวะอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อต่อควรได้รับ DHA อย่างเพียงพอ
การเรียนรู้และพฤติกรรม: DHA เป็นส่วนสำคัญของสมองที่มีบทบาทในการเรียนรู้ ความจำ และพฤติกรรมของแมว การรับประทาน DHA สามารถช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางสมองและพฤติกรรมที่เหมาะสมในแมว ทั้งยังช่วยในส่วนของการรับรู้เมื่อแมวอายุมากขึ้นอีกด้วย
สุขภาพของหัวใจและระบบหลอดเลือด: EPA มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบในร่างกาย ส่งผลให้ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและโรคเส้นเลือด เช่น ลดการเกิดอาการอัมพฤกษ์ในหัวใจและลดความเสี่ยงของการตีบตันหรือการอุดตันในหลอดเลือดที่สำคัญ โดยจะลดความดันโลหิต ลดระดับไตรกลีเซอไรด์ และปรับปรุงการทำงานของระบบหัวใจและหลอดเลือดโดยรวมให้อยู่ในสภาวะที่สมบูรณ์
สุขภาพของสมอง: EPA มีความสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพสมองและความจำ ซึ่งส่งผลให้แมวมีความจำดีขึ้นและลดความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม
สุขภาพของข้อและกระดูก: การรับประทาน EPA ช่วยลดการอักเสบในข้อต่อและส่งเสริมสุขภาพของกระดูกและข้อ โดยจะส่งเสริมความยืดหยุ่นและการเคลื่อนไหว จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับแมวสูงอายุหรือแมวที่เป็นโรคข้ออักเสบหรือปัญหาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อต่อ
ระบบภูมิคุ้มกัน: EPA ช่วยปรับการตอบสนองการอักเสบของร่างกาย ลดการอักเสบในร่างกายที่เกี่ยวข้องกับสภาวะต่างๆ เช่น โรคข้ออักเสบ โรคลำไส้อักเสบ และโรคภูมิแพ้ผิวหนังในแมว นอกจากนี้ EPA ยังช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แก่แมวให้เพิ่มความสามารถในการต่อสู้กับการติดเชื้อและโรคต่างๆอีกด้วย
สุขภาพผิวและขน: EPA ช่วยให้ผิวและขนของแมวสวยงาม โดยให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว ลดการอักเสบ และสนับสนุนการทำงานของเกราะป้องกันผิวหนังที่เหมาะสม สามารถช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้ทางผิวหนังและอาการทางผิวหนังอื่นๆ ได้